สถานธรรมดอยดวงแก้วสัพพัญญู ค้นพบวัตถุโบราณพบความจริงตามนิมิต
ครูบาชัยยาปัถพี ได้มาวางฤกษ์การสร้างสถานธรรมดอยดวงแก้วสัพพัญญู เมื่อวันที่ ๕ เดือน ๕ ปี พ.ศ.๒๕๕๕ ครูบาชัยยาปัถพีจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน
“ขอให้สถานที่แห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นไป ขอให้มีบริวารเข้ามาช่วยสร้างวัด อุทิศบุญให้วิญญาณที่ล่วงลับ”
เนื่องเพราะสมัยที่ครูบาชัยยาปัถพี เป็นเด็กจำความได้นั้นมักจะจะฝันเห็นดินแดนสถานที่แห่งหนึ่ง ฝันเห็นสถานที่แห่งนั้นมีความเกี่ยวพันกับชีวิตมาโดยตลอด ฝันว่าได้มีการสู้รบต่อสู้ทำศึกสงครามมาโดยตลอด จิตเกิดความหวาดกลัว และเกิดความปลงสลดสังเวชในชีวิตที่ได้รู้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่เด็ก
เมื่อได้สติระลึกถึงภพภูมิหลังภพชาติเก่าครูบาชัยยาปัถพี ในวัยเด็กจึงมีความตั้งใจปรารถนาที่จะมาช่วยเหลือช่วยปลดปล่อยความทุกข์ให้ผู้คน ให้แก่ดวงวิญญาณที่อยู่ในเวียงเก่าแก่นั้น
แต่ไม่ทราบว่า สถานธรรมดอยดวงแก้วสัพพัญญู อยู่ที่ใด แต่รู้ว่าในดินแดนนั้นเป็นดินแดนที่ยังมีวิญญาณตกค้างไม่ได้ไปผุดไปเกิดอยู่อีกมากมาย
จนได้เดินทางมาตามนิมิต และพบสถานที่แห่งหนึ่งจึงได้ทราบความจริงว่าสถานที่ที่ครูบาชัยยาปัถพี ติดตามหามาโดยตลอดนั้นเป็นสถานที่สถานธรรมดอยดวงแก้วสัพพัญญูแห่งนี้นั้นเอง ที่ยังมีวิญญาณจำนวนมากรอคอยบุญกุศลหนุนนำให้เพื่อให้ได้ไปผุดไปเกิด
ณ สถานที่โป่งแล้งแห่งนี้ เคยเป็นสมรภูมิแห่งการรบราฆ่าฟันกันของทหารในยุคอดีตนานหลายร้อยปีบางชาติก็นานหลายพันปีผ่านมา จำพวกศรัตราวุธ ขวาน ง้าว หอก ดาบ ยังคงหล่นถูกฝังดินนานหลายร้อยปี ทั้งโครงกระดูก ร่างต่าง ๆ มากมาย
ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนครูบาชัยยาปัถพี ได้เดินจงกรมแล้วได้มองเห็นแสงสว่างจ้าขึ้นมา ณ ลานกลางสถานธรรมดอยดวงแก้ว
ต่อมาเมื่อมีการทำพิธีสร้างศาลา จึงได้มีการนำรถแบ็คโครนำมาขุดดินเพื่อขุดเป็นหลุมอาคาร(ฟุตติ้งอาคาร) รถขุดดินได้ขุดดินบนกองเนินดินปรากฏว่าได้เจอทั้งโครงกระดูก พระพุทธรูปหินเก่า ขวานหินโบราณ เศษหม้อดินเก่าแก่ ยิ่งขุดลงไปในดินก็ยิ่งเจอมากขึ้น ๆๆๆ จึงกลบดินฝังไว้ดังเดิม
ในนิมิตของครูบาชัยยาปัถพีทำให้รู้และเป็นบทพิสูจน์ได้ทราบว่า
…วิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณนักรบที่ต้องเข่นฆ่ารบราฟันกัน เนื่องเพราะกรรมฝังในจิต ในขณะทำสงคราม ในขณะที่ยังมีชีวิต จิตฝังในความรู้สึกแรงกล้า พอสังขารตายในสมรภูมิรบยังฝังในวิญญาณการสู้รบของวิญญาณนั้นไม่ได้จบลงไป เนื่องเพราะความที่ยึดถือในสิ่งที่ตนเคยอาศัย
ในเหตุการณ์นั้นจึงทำให้เป็นเหตุให้เกิดตายไม่หยุด วิญญาณ จิตยึดติดในสถานการณ์นั้น ๆ ที่ฝังในจิตยึดติดมานาน วิญญาณบางตนถูกฆ่าตายไปในสนามรบ รบฟันฆ่ากัน วิญญาณเหล่านั้นก็จะมารบฆ่าฟันกันใหม่
เสียงกลองดังอึกทึกครึกโครม โห่ร้องด้วยความมุ่งมั่นองอาจ กล้าหาญ วิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณที่ตายในสนามรบ วิญญาณจึงติดนั้นตลอดเวลา กิเลสความรุ่มร้อนในใจยังมีมาก
พอถึงขวบเก่าเวลาเดิมก็ต้องมารบฆ่าฟันกัน รูปแบบการรบเวลาผ่านได้เปลี่ยนไปตามสภาพสภาวะ ครั้นพอถึงเวลารบทำศึกกัน กองทัพแต่ละฝ่ายก็ลดน้อยลง ๆๆ เพราะวิญญาณบางดวงก็ได้ไปเกิดเรื่อย ๆ
วิญญาณบางดวงก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่าตนเองตายไปแล้วก็มี เนื่องเพราะอยู่ในสงครามจิตมีแต่จะรบราฆ่าฟันกันอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วยังคิดว่าตนเองมีชีวิตธาตุขันธ์เช่นมนุษย์อยู่ก็มี
เมื่อครูบาชัยยาปัถพีเข้าสมาธิมักจะมีวิญญาณเข้ามาหาเพื่อขอทางสว่างช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณพวกตนเหล่านี้ด้วย
“ขอให้มีความสุข ความเจริญ ๆๆ นะ”
พลันสิ้นการแผ่เมตตาจากครูบาชัยยาปัถพีให้แก่ดวงวิญญาณหลายดวงก็ได้ไปผุดไปเกิดเพราะจิตคลายจากความยึดมั่นถือมั่น หลังจากนั้นวิญญาณได้พากันกราบลาและหายไปในคืนนั้น…
ในสภาวะจิตละเอียด อยู่ในสภาวะทิพย์ ครูบาชัยยาปัถพี จึงสามารถมองเห็นภพภูมิ เพ่งมองไปเพ่งมองมา เห็นวิญญาณผีทหารยุคสมัยที่ยังเป็นอาณาจักร ต่าง ๆ ก่อนที่จะรวบรวมเป็นประเทศไทย พระเมืองยองให้ตำแหน่งครูบาชัยยาปัถพี วัดดอยดวงแก้ว
ครูบาชัยยาปัถพี รับทราบเรื่องราวของดินแดน สถานธรรมดอยดวงแก้วสัพพัญญู แล้วมีความรู้สึกว่าต้องไปทำการปลดปล่อยวิญญาณที่ยังตกค้างอยู่ในสถานที่แห่งให้ได้ไปผุดไปเกิดหรือให้ดวงวิญญาณได้รับบุญกุศลเพื่อให้พ้นจากความทุกข์
ครูบาชัยยาปัถพีจึงได้มุ่งมั่นด้วยการหมั่นสวดมนต์ ไหว้พระปฏิบัติกรรมฐาน กรวดน้ำ ต้องช่วยเหลือผู้คนหากช่วยเหลือคนได้ก็จะได้อานิสงส์มีพลังอำนาจจิตพลังอำนาจบุญแผ่ให้ไปถึงดวงวิญญาณได้มากขึ้น
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปลดปล่อยความทุกข์ของสรรพวิญญาณในครั้งนั้นขณะที่ครูบาชัยยาปัถพีเจริญจิตเมตตาภาวนาได้สัมผัสพบกับดวงวิญญาณเป็นจำนวนมากมาย วิญญาณบางดวงได้เข้ามาพบครูบาชัยยาปัถพีเพื่อมากราบลา
ภายหลังจากที่ได้รับพลังกระแสจิตแผ่บุญไปให้ บางวิญญาณมาปรากฏรูปกายให้ครูบาชัยยาปัถพีรับทราบในรูปร่างก่อนที่จะเสียชีวิตบ้างมองเห็นแต่ศรีษะ บ้างเห็นแต่ร่างครึ่งท่อน บ้างเห็นเพียงร่างกายไม่มีแขน บ้างเห็นแต่ไหล่ บ้างไม่มีศรีษะ วิญญาณเหล่านั้นเข้ามาปรากฏกายให้ทราบเพียงรูปลักษณ์เพื่อมาขอลาเพื่อไปผุดไปเกิด
นิมิตครั้งนั้นครูบาชัยยาปัถพี ทราบว่าสถานที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ ๒ องค์เชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของเวียงกาหลง คือพระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์
(มีการขุดพบขึ้นในปัจจุบันนำไปประดิษฐานที่วัดพระเจ้าทองทิพย์) แต่อีกองค์หนึ่งเป็นพระที่ไม่สามารถนำขึ้นมาได้ แม้จะนำช้าง ๑๐ เชือกขึ้นมาก็ไม่สามารถลากขึ้นมาได้ พระองค์นี้เป็นพระเนื้อดิน ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในแอ่งน้ำวนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่ลาว
