 
						
					ครูบาคติใหม่ กับการนำเสนอตนเองด้วยภาพลักษณ์ครูบาศรีวิชัยประการ 3-4
ประการที่สาม คือ ครูบา คติใหม่พยายามเชื่อมโยงผ่านวัตรปฏิบัติและพิธีกรรมที่กล่าวกันว่าสืบทอดมาจากครูบาศรีวิชัย ส่วนใหญ่มักเป็นการเชื่อมโยงจากประวัติครูบาศรีวิชัยที่ถูกดัดแปลงและสร้างขึ้นมาใหม่ เช่น วัตรปฏิบัติครูบาศรีวิชัยที่ว่า
“…นุ่งผ้าสามผืน ตื่นตีสี่ ฉันข้าวคาบเดียว เตียวจงกรม…”
รวมถึงการกินมังสวิรัติด้วย โดยลักษณะวัตรปฏิบัติดังกล่าวนี ครูบาน้อย เตชปญฺโญ กล่าวว่าถือวัตรปฏิบัติเช่นนี และท าเป็นประจำทุกวัน (ครูบาน้อย เตชปญฺโญ, สัมภาษณ์ 4 มีนาคม 2559) ซึ่งวัตรปฏิบัติดังที่กล่าวมานี พระครูอดุลสีลกิตติ์ ผู้ที่ถือว่ามีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ล้านนาท่านหนึ่ง กล่าวว่า เป็นการแต่งขึ้นมาใหม่ให้คล้องจองและไพเราะขึ้น (พระครูอดุลสีลกิตติ์, สัมภาษณ์ 3 มีนาคม 2559)
ไม่เพียงแค่วัตรปฏิบัติเท่านั้น พิธีกรรมถือเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งเช่นกัน ที่ครูบาคติใหม่พยายามเชื่อมโยงกับครูบาศรีวิชัย โดยเฉพาะพิธีกรรม “การเข้านิโรธกรรม” ซึ่งปรากฏในเอกสารที่ชื่อ ว่า “กัมมัฏฐานรอม”
กล่าวกันว่ารวบรวมโดยครูบาศรีวิชัย เมื่อครั้งอยู่วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2475 เรียกว่า “การเข้านิโรธ-สมาบัติ” (พระศรีวิชัย, 2475) โดยส่วนใหญ่พยายามกล่าวว่า ได้สืบทอดมาจากครูบาอาจารย์ของตนเองซึ่งเคยเรียนรู้และศึกษามาจากครูบาศรีวิชัย เช่น กรณีของครูบาอริยชาติ ที่กล่าวว่าได้รับการศึกษาวิชาดังกล่าวมาจากครูบาจันทร์ติ๊บ (ทิพย์) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ
ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย ซึ่งเชื่อกันว่าครูบาชุ่มถือเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดครูบาศรีวิชัยรวมถึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับครูบาชัยยะวงศาพัฒนาด้วย (ส. สุทธิพันธ์, 2554, น. 54–55) หรือไม่ก็กล่าวว่าเป็น
การศึกษามาจากพับสาของครูบาศรีวิชัยที่สืบทอดจากครูบาอาจารย์ เช่น กรณีของครูบาน้อย ก็กล่าวว่า ได้เรียนรู้วิธีการเข้านิโรธกรรมจากพับสาของครูบาศรีวิชัยที่ตกทอดมาจากครูบาวัดศรีดอนมูลซึ่งเป็น ครูบาอาจารย์ของท่านเช่นกัน (ครูบาน้อย เตชปัญโญ, สัมภาษณ์4 มีนาคม 2559)
อย่างไรก็ตาม ลักษณะของการเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ถือว่าเป็นแนวทางที่เป็นวัตรปฏิบัติเฉพาะของครูบาศรีวิชัย แต่ถือเป็นวัตรปฏิบัติที่พระสงฆ์ล้านนาอดีตนิยมปฏิบัติด้วยเช่นกัน(พระครูอดุลสีลกิตติ์, สัมภาษณ์ 3 มีนาคม 2559)
แต่ลักษณะของการนิโรธกรรมของครูบาคติใหม่ ในปัจจุบันกลับมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยมีการประยุกต์และตีความพิธีกรรมเหล่านั้นใหม่ เช่น จะต้องอยู่ในหลุมลึก 1 ศอก กว้าง 2 ศอก ให้พอดีเข่าแล้วสร้างซุ้มฟางครอบหลุมนั้น
ซึ่งเมื่อนั่งแล้ว ซุ้มฟางจะมีความสูงเลยศีรษะเพียง 1 ศอก จากนั้นใช้ผ้าขาวปู 4 ผืนสำหรับรองนั่ง แทนความหมายของ อริยสัจสี่ ซุ้มมีเสา 8 ต้น แทนความหมาย คือ มรรค 8 ยอดซุ้มปักธงฉัพพรรณรังสี อันมีความหมายถึง ปัญญา ราชวัติล้อมซุ้มมี 9 ชั้นแทนความหมายโลกุตรธรรม 9 คือ มรรค 4 นิพพาน 1 ฯลฯ
ประการที่สี่ คือ การสร้างภาพลักษณ์การเป็น “พระนักพัฒนา”6 โดยภาพลักษณ์การเป็นพระนักพัฒนาเป็นภาพลักษณ์ส าคัญของครูบาศรีวิชัย ดังนั นครูบาคติใหม่จึงพยายามสร้างและนำเสนอ ภาพลักษณ์การเป็นพระนักพัฒนาให้แก่ตนเอง เช่น การตามรอยการสร้างวัดที่ครูบาศรีวิชัยเคยสร้างในกรณีของครูบาเทืองได้ไปบูรณสถานที่ที่ครูบาศรีวิชัยเคยไปบูรณะหลายสิบแห่ง โดยเฉพาะวัดบ้านปาง
วัดพระเจ้าตนหลวงเมืองพะเยา พระธาตุม่อนไก่แจ้ ฯลฯ7 ส่วน ครูบา อานันท์ ได้ไปสร้างวัดบ้านปาง และรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของครูบาศรีวิชัยจนสามารถสร้างพิพิธภัณฑ์ครูบาศรีวิชัยขึ้น ณ วัดบ้านปาง ไม่เพียงเท่านั้นลักษณะการสร้างวัดของครูบาคติใหม่ในปัจจุบันของตนเองจะต้องยิ่งใหญ่และสวยงามอลังการ และมีลักษณะที่กล่าวกันว่าเป็นศิลปะแบบล้านนาร่วมสมัย ซึ่งการสร้างวัดให้มีความสวยงามและยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้เป็นเพียงการพยายามสร้างภาพลักษณ์การเป็นพระนักพัฒนา เพื่อให้สัมพันธ์กับภาพลักษณ์ของครูบาศรีวิชัยเท่านั้น การสร้างวัดในลักษณะดังกล่าวยังเป็นการสถาปนาบารมีให้แก่ครูบาคติใหม่ผู้เป็นเจ้าของวัดนั้น ๆ ด้วย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่า บารมีของเจ้าอาวาสวัดมักจะสะท้อนผ่านงานการก่อสร้างวัด วัดที่สร้างใหญ่และใช้เวลาในการก่อสร้างเร็วแสดงให้เห็นว่าเจ้าอาวาสเป็นผู้มีบารมีสูง
กล่าวโดยสรุป ครูบาคติใหม่พยายามน าเสนอตนเองด้วยการเชื่อมโยงกับเรื่องราวและภาพลักษณ์ของครูบาศรีวิชัยอยู่หลายประการ การเชื่อมโยงเหล่านั นท าให้ครูบาคติใหม่ได้มาซึ่งภาพลักษณ์สำคัญที่คล้ายคลึงกับภาพลักษณ์ของครูบาศรีวิชัย เช่น การเป็นตนบุญ ผู้วิเศษ ซึ่งสะท้อนกับความต้องการและแสวงหาของผู้คนในสังคม ไม่เพียงเท่านั้นภาพลักษณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นยังทำให้ครูบาคติใหม่เหล่านี ได้รับความชอบธรรมในการเป็น “ครูบา” ไปด้วยพร้อมกัน
เนื่องจากเข้าใจกันว่าภาพลักษณ์ของครูบาศรีวิชัยเป็นลักษณะของการเป็น “ครูบา” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในอดีตนั้นการเป็น “ครูบา” ไม่จำเป็นต้องมีภาพลักษณ์แบบครูบาศรีวิชัยเท่านั้น ครูบาในอดีตมีลักษณะสำคัญ เช่น เป็นพระสงฆ์ผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นครูผู้สอนทั้งความรู้ทางธรรมและองค์ความรู้ทางโลก เช่น งานช่าง หมอสมุนไพร แก่เหล่าพระสงฆ์และฆราวาส จึงได้รับการเรียกขานด้วยความศรัทธาที่เกิดขึ้นจากประชาชนด้วยคำว่า
“ครูบา” ลักษณะเช่นนี ถือเป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างครูบาในอดีตและครูบาคติใหม่อย่างไรก็ตาม การเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของครูบาศรีวิชัยไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้ผู้คนในสังคมให้ความสนใจและเข้ามาเลื่อมใสศรัทธาในตัวครูบาคติใหม่เท่านั้น ครูบาคติใหม่ยังมีการปรับตัวในแง่อื่น ๆ อีกมาก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะความไม่มั่นคงทางจิตใจของผู้คนในโลกปัจจุบัน
เช่น การสร้างพระเจ้าโคตรทันใจ การสร้างพระเจ้ารวยมหาศาล ซึ่งสร้างขึ้นมาจากไม้ไผ่สานเป็นองค์พระพุทธรูป หรือ การปรับประยุกต์พิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการเรื่องโชคชะตา ดวง และเงินทอง เช่น พิธีกรรมการสืบชะตา สะเดาะนพเคราะห์ การเสกน ามนต์ธรณีสาร หรือแม้แต่การ ประทีปตีนกา
หรือ จุดอาง เพื่อโชคลาภและความเป็นมงคล ลักษณะการปรับตัวเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในยุคแห่งการแข่งขัน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การงาน การเงิน รวมถึงความ ไม่มั่นคงต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ครูบาบุญชุ่ม ประวัติ การเข้าพรรษา
เป็นลักษณะการปรับตัวเพื่อสร้างจุดสนใจ สร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนเกิดความสนใจ คล้ายกับการน าเสนอสินค้าทางใจประเภทหนึ่ง ให้ผู้คนเลือกเข้ามาบริโภค หรือ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา
